พุยพุย

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

หน่วยสวาท

หน่วยSWAT คือหน่วยที่ปฏิบัติหน้าที่ชนิดลับเฉพาะ เพื่อกิจการ "กำจัด" หรือ "ทำลาย" ผู้ก่อการร้ายในยุคปี พ.ศ. ๒๕๑๗ หรือเมื่อประมาณ ๓๖-๓๗ ปีมาแล้ว โดยการก่อตั้งของกรมตำรวจในยุคนั้น ซึ่งเรียกกันว่า "หน่วยสวาท"แต่เพราะเหตุผลทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้หน่วยนี้ต้องถูกยุบไปเป็นการสิ้นสุดของหน่วยงานที่มีการก่อตั้งและฝึกฝนกันมาเป็นชนิดพิเศษนี้แหละค่ะ ซึ่งจะอธิบายให้ทราบว่ามันไปยังไงมายังไง สำหรับการก่อตั้งขึ้นในยุคนั้น และผลที่สุดก็ต้องสลายตัวไป ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็อาจมีหน่วยที่ปฏิบัติงานโดยลักษณะเดียวกันนี้ก่อตั้งขึ้นมาแทน "สวาท" เดิมและอาจมีอยู่ในหน่วยอรินทราชในยุคปัจจุบัน ซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะมีการฝึกฝนกันอย่างเข้มงวดกวดขันจนมีประสิทธิภาพถึงขั้นไหน และใช้อาวุธปืนสไนเปอร์ยี่ห้อใด แบบใดเข้ามาแทนที่
ส่วนการฝึกนั้น แรกทีเดียวหน่วยอรินทราช ๒๖ รับผู้ที่เรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ หรืออาสาสมัครตำรวจ การฝึกในครั้งแรกไม่มีรูปแบบที่แน่นอน โดยได้รับการสนับสนุนครูฝึกจาก ตร. และยึดรูปแบบการปฏิบัติการเป็นทีม ๕ คน เหมือนหน่วยปฏิบัติการพิเศษ GSG 9 ของประเทศเยอรมนี มีการฝึกการยิงปืนทางยุทธวิธี การฝึกพลแม่นปืน การปฏิบัติการทางน้ำ การต่อสู้ป้องกันตัว การขับขี่ยานพาหนะในรูปแบบต่างๆ เมื่อการฝึกรุ่นแรกสำเร็จ ก็มีการถ่ายทอดให้กับกำลังพลที่เข้าประจำการในกองร้อยปฏิบัติการพิเศษเรื่อยมา อีกทั้งมีการจัดส่งกำลังพลไปฝึกในหลักสูตรต่างๆ ของต่างประเทศและนำวิชาความรู้กลับมาถ่ายทอดให้กับกำลังพลที่อยู่ในหน่วย โดยจะทำการฝึกกันเองถ่ายทอดกันต่อๆ มา และได้มีการจัดแบ่งหลักสูตร ออกเป็น ๕ หลักสูตร คือ
๑.หลักสูตรการต่อต้านการก่อการร้ายสากล ๒๔ สัปดาห์ สำหรับกำลังพลที่บรรจุใหม่
๒.หลักสูตรทบทวนการต่อต้านการก่อการร้ายสากล ๖ สัปดาห์ สำหรับกำลังพลที่ประจำการอยู่ในหน่วย และฝึกทดสอบแผนปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย ๑ สัปดาห์
๓.หลักสูตรการทำลายระเบิด ๑๒ สัปดาห์ สำหรับกำลังพลที่บรรจุในตำแหน่ง "พลเก็บกู้ทำลายระเบิด"
๔.หลักสูตรพลแม่นปืน ๔ สัปดาห์ สำหรับกำลังพลที่บรรจุในตำแหน่ง "พลซุ่มยิง"
๕.หลักสูตรผู้ชำนาญการอิเล็กทรอนิคส์ ๑๒ สัปดาห์ สำหรับกำลังพลที่บรรจุในตำแหน่ง "ผู้ชำนาญการอิเล็กทรอนิคส์"
นอกจากนี้ยังมีการฝึกต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น "แผนกรกฏ ๔๘" การฝึกในสถานการณ์สมมุติ และการฝึกร่วมกับหน่วยงานอื่น

 อรินทราช 26 หน่วย S.W.A.T. หนึ่งเดียวของประเทศไทย
 
 

 

ผลการค้นหา

 

อุปกรณ์สำหรับปฏิบัติหน้าที่

ในการแต่งกายจะไม่สามารถเปิดเผยใบหน้าได้ ที่ชุดบริเวณไหล่ซ้าย มีอาร์มสีบานเย็น รูปสี่เหลี่ยมคางหมู ตรงกลางมีรูปอักขระยันต์ มีตัวหนังสือบอกหน่วยสังกัดว่า "ตำรวจนครบาล ปฏิบัติการพิเศษ" นั่นคือ "ตำรวจ 191" เนื้ออาร์มมีคำว่า "อรินทราช ๒๖" บริเวณหน้าอก มีรูปโล่อยู่ตรงกลาง พื้นโล่สีดำแดง กลางโล่มีสายฟ้าสีขาว มีดอกชัยพฤกษ์สีทองพุ่งเข้าหาโล่จากด้านข้าง ข้างละ ๖ ดอก สีพื้นของชุดจะเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีสำหรับหน่วยงานที่ทำหน้าที่บริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยชุดแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ได้แก่
๑.ชุดทำงานปกติ สามารถเห็นได้ทั่วไปตามจุดสำคัญ
๒.ชุดเวสสีน้ำเงิน ใช้สำหรับฝึกและเตรียมพร้อมก่อนปฏิบัติงาน
๓.ชุดเวสพร้อมอุปกรณ์ โดยจะมีอุปกรณ์ครบมือ ตั้งแต่หมวกกันกระสุน,เสื้อกันกระสุน, อาวุธอื่นๆ ที่เพิ่มเข้า
๔.ชุดปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย โดยชุดนี้จะเหมือนแบบที่ ๓ เว้นแต่สีชุดที่เป็นสีดำ จะใส่ชุดนี้เมื่อต้องทำงานกับหน่วยงานอื่น (การสนธิกำลัง)

อาวุธประจำกาย

ในหน่วยงานราชการมีการเปลี่ยนแปลงแทนที่ยุทธภัณฑ์อยู่เสมอ สำหรับปืนสั้น เคยมีการใช้ Browning ปัจจุบันมีการใช้ Glock 19 และ HK P7M8 ส่วนอาวุธประจำกายคือ MP5 สำหรับบางคนจะใช้ปืนไรเฟิล หรือปืนลูกซองแทน ในการปราบจลาจลอาจมีการใช้โล่ และกระบอง หรือใช้กระสุนซ้อมมาแทนที่

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ภาพ.หลักสูตรต้านก่อการร้าย (นเศวร 261 และ อรินทราช 26)




มนุษย์กบ

หลักสูตรรบพิเศษ ที่เป็นหลักสูตรฝึก 
ในเมืองไทย มี สามหลักสูตร เท่านั้น คือ

หนึ่ง หลักสูตร จู่โจม หรือ เสือคาบดาบ ของทหารบก
เมื่อก่อน เหล่ารบ ของ ทบ ต่างคนต่างมีที่ฝึกของตนเอง 
แต่ ณ ปัจจุบันนี้ สถานที่ฝึก คือ ศร ที่ประจวบคีรีขันธุ์

สอง หลักสูตร การรบพิเศษแขนงลาดตระเวน สะเทินน้ำสะเทินบก หรือ รีคอน
ของ กองทัพเรือ

สาม หลักสูตร นักทำลายใต้น้ำจู่โจม หรือ มนุษย์กบ
ของ กองทัพเรือ  
สำหรับอันนี้ต้องดูดีๆ เพราะมันจะมีอีกแบบที่ตำรวจชอบเอามาติด ตัวนั้นจะเป็นตำรวจน้ำ
ข้อต่างจะอยู่ตรงที่ มนุษย์กบ ของจริง จะเป็น ธงชาติและสมอเรือ 
แต่ของตำรวจน้ำ เป็นตราโล่ตำรวจ ซึ่งการฝึกคนละเรื่องกันเลย
ของตำรวจน้ำไม่ใช่จู่โจม เป็นเพียงการอบรม การลาดตระเวนและช่วยเหลือทางน้ำ

ทั้งสามหลักสูตรนี้ ไม่ใช่ อยากฝึกก้อฝึกได้ 
หนึ่ง จะมี เกณฑ์ อายุ เพื่อความปลอดภัยต่อสภาพร่างกาย เนื่องจากฝึกโหดของจริง
สอง ต้องผ่านการทดสอบ สมรรถภาพร่างกายเบื้องต้น ไม่ว่าจะเป็น วิ่ง วิดพื่น.....

ในเมืองไทย หน่วยพิเศษ ที่เป็นหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายสากล หรือความไม่สงบ
เมื่อก่อนจะมีอยู่ 5 หน่วย ปัจจุบัน เหลือ 4 หน่วยเท่านั้น
เพราะ หน่วยอรินทราช 26 ที่ขึ้นกับ กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ 191 หรือ สปพ 191
นั้นถูกปรับลด ให้ ทำหน้าที่ปราบปรามการอาชญากรรมร้ายแรง (เท่านั้น) ในเขต กทม และ ปริมณฑล

ขณะที่อีกสี่หน่วย ให้ มีขอบ อำนาจ ทั่วประเทศไทย เหมือนเดิม
ซึ่งผู้ที่จะเข้าสังกัดทั้ง สี่ หน่วยงาน นั้น ต้องผ่านการฝึกหลักสูตรรบพิเศษ
หลักสูตรใดหลักสูตรหนึ่ง ในสามหลักสูตรที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้

ของ ทหารบก คือ ฉก 90 เสือดำ กองพันจู่โจม
ของ ทหารเรือ คือ หน่วยทำลายใต้น้ำจู่โจม กองรบที่ 3 กองทัพเรือ
ของ ทหารอากาศ คือ คอมมานโด ทหารอากาศ
ของ ตำรวจ คือ กองร้อย นเรศวร 261 กองร้อยที่ 4 ตำรวจพลร่ม

ทั้งหมดนี้ ขึ้นการบังคับบัญชาโดยตรง กับ ศอร 106
ผู้สั่งการคือ ผบ สส โดยตำแหน่ง

สำหรับเหตุการณ์ ก๊อดอาร์มี่ ปล้น รพ ที่ราชบุรี
ผู้ปฎิบัติการณ์คือ ฉก 90 เสือดำ

ส่วนเหตุการณ์ พม่าจี้ ผบ เรือนจำ
ผู้ปฏิบัติการณ์คือ นเรศวร 261

ไม่มี กองร้อยไหนเก่งที่สุด ในประเทศไทย 
เพราะทั้ง 4 หน่วยรบพิเศษ มีขีดความสามารถ ที่เท่าเทียมกัน
แต่แบ่งรูปแบบการปฏิบัติงาน และหน้าที่ ต่างกันออกไป

อย่างของ กองทัพเรือ เมื่อจบ มนุษย์กบ แล้ว
เข้าสังกัด รพศ ก้อจะมีหลักสูตร ทำลายใต้น้ำชั้นสูงให้เรียนต่อไป
ซึ่งสอนเฉพาะ ผู้ที่ต้องนำไปใช้จริงเท่านั้น นั่นก้อคือ ทหารเรือ

ส่วนข้อคำถาม ของคุณ doltira03

ของโชคชัย4 เป็น คอมมานโดของกองปราบปราม 
ทำหน้าที่ จับกุม ปราบปราม ผู้มีอิทธิพล เป็นหลัก
ถ้าเป็น เหตุการณ์ร้ายแรง ก้อจะเป็นหน้าที่ของ อรินทราช 26 ของ สปพ 191
ถ้าเป็นต่างจังหวัด ก้อจะเป็น หน้าที่ของ นปพ ของจังหวัดนั้นๆ 

นเรศวร 261 ขึ้นกับ ตำรวจตะเวนชายแดน ค่ายนเรศวร
ส่วนที่ยิง ผบ เรือนจำ เป็น ฝ่ายเรายิงครับ เพราะล้อมยิง เป็นเหตุสุดวิสัย

นักรบ รีคอน

หลักสูตรลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบกและจู่โจมนาวิกโยธิน  (Recon)
recon
IMG_0438DSCF0306
คนค้นฅน เกาะติด..หลักสูตรนักรบ"รีคอน" ที่สุดของความแกร่ง หน่วยรบพิเศษ นาวิกโยธิน

recon

          หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับชื่อของ "นักรบรีคอน" (Recon ) เท่าไหร่นัก แต่หากบอกว่าพวกเขาคือ หน่วยรบพิเศษ ในสังกัดนาวิกโยธิน กองทัพเรือ ที่ต้องลาดตระเวนแบบสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก  ก็คงพอจะทำให้คาดเดาได้ว่าพวกเขาเหล่านั้นต้องมีความแกร่งขนาดไหน ดังนั้น รายการคนค้นฅน (2 มีนาคม) จึงขออาสาพาเราไปเกาะติดชีวิตของนักเรียนหน่วยกล้าตายที่มีนามว่า “นักรบรีคอน” กันค่ะ

          สำหรับ “รายการคนค้นฅน ตอน นักรบพิเศษ Recon หลักสูตรคนเหนือคน” จะมีการถ่ายทอดเรื่องราวของความอึดแบบเต็มอิ่มตลอดทั้งเดือนมีนาคม 2556 โดยเริ่มจากวันที่ 2 มีนาคม เป็นตอนแรก ซึ่งหลักสูตรนักรบรีคอนนี้ เป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานสูงสุดและยากที่สุดหลักสูตรหนึ่งของกองทัพไทย แม้จะมีชายแกร่งหลายคนใฝ่ฝันอยากจะผ่านหลักสูตรนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้ง่ายๆ เพราะในการฝึกนั้นอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต!
Recon Man Stand In Front
เครื่องหมายรีคอน
เครื่องหมายการรบพิเศษ : แขนงลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบกและจู่โจม (Reconnaissance Badge)

          เริ่มต้นด้วยการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายของเหล่าผู้สมัครเข้ารับการอบรมหลักสูตรนักรบรีคอน เพื่อคัดเลือกคนที่จะผ่านปราการด่านแรกเข้าไปเป็นนักเรียนหลักสูตรนี้อย่างเต็มตัว โดย น.ต.ธัชพล ใจเสน หัวหน้าชุดครูฝึกนักรบรีคอน เล่าว่า ผู้สมัครเข้ารับการอบรมนั้น มีมาจากทุกเหล่าทัพ ทั้งทหารบก ทหารอากาศ ทหารเรือ และตำรวจ ซึ่งจะทดสอบร่างกายโดยการโหนราว 20 ครั้ง ต้องผ่าน 9 ครั้ง, ซิทอัพหรือลุกนั่ง 79 ครั้ง ต้องผ่าน 54 ครั้งใน 2 นาที, วิดพื้น 54 ครั้ง ต้องผ่าน 34 ครั้ง, งอเข่าลุกนั่งหรือแทงปลาไหล 150 ครั้ง ต้องผ่าน 110 ครั้ง, วิ่งกลับตัว 300 หลา, ว่ายน้ำ 1 ไมล์ทะเลภายใน 1 ชั่วโมง เป็นต้น

กองพันลาดตระเวน - See more at: http://www.koratnana.com/index.php?topic=4140.0#sthash.XAQtEuFj.dpuf
recon

เสือคาบดาบ

.ใจจริงทหารบกทุกนาย ล้วนอยากได้เครื่องหมายนี้มาประดับหน้าอกเครื่องแบบด้านขวา แต่เนื่องจากหลายกรณีที่ทำให้ต้องตัดใจ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกาย จิตใจ ภารกิจหน้าที่ประจำ เวลาหรือค่าใช้จ่าย ก็ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญของแต่ละบุคคล..สำหรับผม ด้วยความที่รู้สึกเหมือนเดินแล้วเอียงมาหลายปี (เพราะจบแต่หลักสูตรส่งทางอากาศ(พลร่ม)..ได้ติดเครื่องหมายบนหน้าอกด้านซ้ายข้างเดียว)..มันไม่ใช่แค่คำพูดตลกๆในหมู่ทหาร แต่ผมมีความรู้สึกว่ามันเอียงแบบนั้นจริงๆ..ขอกล่าวไปถึงตอนโค้งสุดท้ายของหลักสูตรจู่โจมซึ่งก่อนนั้นผมได้ประคองสังขารผ่านมาแล้วทุกภาค เป็นระยะเวลาสองเดือนกว่า..(รุ่นที่ผมเรียน เข้าก่อนน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯไม่กี่วัน จนมาถึงภาคทะเลที่จะเล่านี้ น้ำที่ท่วมกรุงเทพฯก็ลดลงไปเกือบหมดแล้ว..รุ่นผมจึงเป็นรุ่นที่มีแรงกดดันทางจิตใจเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเรื่อง คือจิตใจที่เป็นห่วงและกระวนกระวาย สำหรับนักเรียนจู่โจมที่มีครอบครัวหรือญาติในกรุงเทพฯ..ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะตอนนั้นภรรยาและลูกสาวอายุเพียงแค่เดือนกว่า อาศัยอยู่พระนครศรีอยุธยา.. ชีวิตคร่าวๆของนักเรียนจู่โจม เช่น ห้ามมีโทรศัพท์ ห้ามมีวันหยุด ห้ามเขียนจดหมาย ห้ามมีญาติมาเยี่ยม ห้ามดูข่าวตามสื่อต่างๆ ห้ามพกเงินแม้แต่สลึงเดียว ห้ามๆๆๆๆๆๆ..นักเรียนจู่โจมมีสิทธิ์ได้รู้ข่าวว่าน้ำท่วมถึงที่ไหนบ้าง ก็เพียงจากครูฝึกที่เปรยๆเพียงน้อยนิดตอนเช้าก่อนฝึก เพื่อกดดันหัวใจนักเรียนในเรื่องความอดทน.. )..ซึ่งภาคทะเล เป็นภาคสุดท้ายของห้วงการฝึกของรุ่นนี้..สามวันกับอีกสามคืนสุดท้ายโดยประมาณ เป็นปัญหาอดอาหาร..ผมและเพื่อนร่วมรุ่นที่เหลืออยู่หนึ่งร้อยสี่สิบกว่าชีวิต ต้องร่วมฝ่าฟันและเผชิญชะตากรรมกันต่อ.. คืนก่อนหน้าจะเข้าปัญหาอดนั้น พวกเราก็ยังคงปฏิบัติภารกิจของปัญหาการฝึก จนตีสี่กว่าๆ กว่าจะได้งีบหลับ (จริงๆตั้งแต่วันแรก ที่เข้ารับการฝึก ก็ได้นอนวันละประมาณไม่เกินสามชั่วโมงทุกคืน ตลอดสองเดือนกว่าๆที่ผ่านมา..หรือหลายคืนที่ไม่ต้องนอนเลย )..ประมาณตีห้าครึ่ง..ครูฝึกก็เป่านกหวีดเรียกพวกเรารวมพล ให้เดินทางไปยังเรือบรรทุก...เมื่อมาถึงเรือ..ครูฝึกได้ตรวจสิ่งที่สามารถกินได้ และยึดทุกอย่างไว้หมด..(ระเบียบตลอดหลักสูตรก็ไม่สามารถพกพาของกินได้ ยกเว้นสิ่งที่อนุญาตในระเบียบหลักสูตร เช่น ยารักษาโรค แต่มีหลายครั้งที่หิวมากๆ ก็กินยาแอนตาซิลเป็นอาหาร.. )..แต่ปัญหาอดอาหาร ต้องยึดทุกอย่าง มีอย่างเดียวที่ให้คือ..คะนอร์ซุปไก่ คนละกล่อง (มีสองก้อน)..ทันทีที่ตรวจสิ่งของเสร็จพวกเราก็ขึ้นเรือ จนเรือได้นำนักเรียนจู่โจมมาถึงยังเกาะที่โดดเด่นกลางทะเล..เป็นเกาะที่เมื่อใครเกาะแล้วจะไม่มีอะไรกิน(ไม่เหมือนเกาะเมียกินนะครับ อิๆๆ)..เมื่อสองเท้าของทุกคนแตะพื้นหาดทรายแห่งนี้แล้ว เรือก็เคลื่อนตัวจากพวกเราไปลิบตา..เหลือไว้แต่นักเรียนจู่โจม ที่ถือปืน สะพายห่อสิ่งของเครื่องนอนเล็กน้อย(โดนยึดเป้สนาม) น้ำดื่มในกระติกสนามเพียงน้อยนิดห้อยอยู่ที่เอว..ความรู้สึกตอนนั้นถ้าผ่านปัญหาอดไปได้ ก็จะได้ติดเครื่องหมายเสือคาบดาบ (RANGER) เป็นนักรบพระนเรศวรเต็มตัวแล้ว..ผมมั่นใจว่า..เอาอยู่..ผมคิดในใจด้วยความมุ่งมั่น..หลังจากนั้นผมจึงเดินไปเลือกที่เหมาะๆเพื่อผูกเปลนอนฆ่าเวลา แต่ละคนนอนห่างจากเพื่อนๆภายในชุดพอประมาณ..(ป้องกันการคุยกัน นอนนิ่งๆห้ามพูดกันสามวัน ทำตัวให้นิ่งที่สุดเพื่อประหยัดพลังงาน..เป็นวิธีการที่พวกผมได้รับคำแนะนำมา..)..ผมผูกเปลเสร็จ ก็นอนรับลมทะเลเย็นสบาย..มองไปไกลๆก็เห็นเรือประมงหลายลำ ลอยล่องอยู่บนท้องทะเลสีคราม..นี่เราใกล้จะได้ติดเครื่องหมายเสือคาบดาบสมใจแล้วโว้ย..ผมกระหยิ่มยิ้มย่องภายในใจ..และเราจะเอาเครื่องหมายไปอวดภรรยาสุดที่รักและเจ้าตัวเล็ก..แม้ว่าภรรยาอาจจะไม่รู้ความหมายลึกซึ้งของเครื่องหมายเท่าไหร่..แต่ทุนจากกระเป๋าที่ให้ผมมา ตั้งแต่การทดสอบจนซื้อสิ่งของการฝึก อาจจะมากพอที่ทำให้เธอรู้ว่า มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น มันสำคัญพอๆกับการรับจำนำข้าวเลยทีเดียว..กลับไปจะหอมแก้มทั้งแม่และลูกเลย ผมคิดในใจต่อ..คิดถึงลูกมากเลย ป่านนี้จะโตขนาดไหนน๊า..เพราะตั้งแต่ลูกคลอด ผมได้อยู่กับลูกแค่สามวัน เนื่องด้วยติดภารกิจที่ชายแดน วันคลอดก็ส่งกำลังใจให้ภรรยาทางโทรศัพท์..ได้เห็นหน้าลูกก็ต่อเมื่อได้รับวันลา ก่อนเข้ามารับการฝึกสามวัน..เดี๊ยวนี้ลูกเราคงใกล้จะสี่เดือนแล้วสินะ..ผมคิดใคร่ครวญในใจของคนเป็นพ่อ จนความรู้สึกผมเริ่มตาปรือลงเรื่อยๆ เพราะความเพลีย..และหลังจากนั้นความรู้สึกผมก็หลับวูบลงด้วยความรู้สึกของผู้ชนะ






กระโดร่ม

โดดร่มจากอากาศยานจริง หลักสูตรส่งทางอากาศอากาศโยธิน รุ่นที่๕๗
ศูนย์การทหารอากาศโยธิน ได้นำนักเรียนหลักสูตรส่งทางอากาศอากาศโยธิน รุ่นที่ ๕๗ ทำการกระโดดร่มจากอากาศยานจริง ณ  สนามฝึกยุทธวิธีภาคพื้นกองทัพอากาศ  บน.๒  จ.ลพบุรี  วันที่  ๗ - ๑๔ มิ.ย.๕๕
 

นักจู่โจมทำลายใต้น้ำ

มีดูการฝึก ( มหาโหด) ของ นักทำลายใต้น้ำจู่โจม

วันนี้อาจจะอัพอะไรที่มันแปลกๆไปจากทุกๆทีเพราะวันนี้ผมจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับ
หน่วยรบทำลายใต้น้ำจู่โจม หรือ Navy Seal  ของไทยเรานี่แหละ

ที่จริงหลายๆคนคงรู้จักอยู่แล้วแต่วันนี้ผมอารมณ์ขึ้นอย่างมากหลังจากได้เจอพวกเค้าและ
ได้ฟังเรื่องของพวกเค้าที่รู้สึกน้อยใจเล็กๆว่าทำไมคนอย่างพวกเค้า"ไม่เคยได้รับอะไรจากประเทศชาติเลย"

พวกเค้าเหนื่อยแทบตาบ เสี่ยงชีวิตแทบตาย ยศก็น้อยนิด เงินเดือนก็แค่พอประทังชีวิต
ทำงานเพื่อนชาติ แต่ไม่เคยได้รับอะไรเลยทั้งๆที่พวกเค้ามีความสามารถมากขนาดนั้น
ผมเชื่อว่าถ้ามีคนแบบพวกเค้าสัก100คนทำสิ่งที่รุนแรงขึ้นมาก็สามารถทำให้ประเทศเรา
เกิลการโกลาหลได้ในทันที เพราะพวกเค้าไม่ธรรมดาอย่างมาก

ผมชอบประโยคที่พวกเค้าพูดกันบ่อยๆ ดังนี้

"พวกกูป้องกันประเทศเพื่อให้พวกมึงอยู่อย่างสงบสุขไม้ใช่ให้พวกมึงได้ทะเลาะกันอย่างสงบ"
"พวกกูมีหน้าที่ป้องกันประเทศไม่ใช่มีหน้าที่ไว้ปฏิวัติยึดอำนาจจากประชาชน"
"พวกกูถูกฝึกมาเพื่อรบไม่ใช่มีหน้าที่ไปดูแลคุณหนู คุณนาย ของพวกผู้ที่มีเครดิตทางสังคม"
"พวกกุฝึกกันแทบตายแต่มึงกลับมาใช้กุเป็นแค่คนขับรถของพวกคนยศสูงๆแค่นี้เหรอ"

และอีกมากมายที่ผมไม่สามารถพิมพ์ลงไปได้เพราะอาจมีปัญหาตามมาเพราะมีการพาดพิง
ถึงบุคคลชั้นสูงมากๆ(คงจะรู้นะ)

เอาหล่ะมาถึงจุดนี้คงจะอยากรู้แล้วสินะว่าพวกเค้าจะแน่สักแค่ไหน ลองไปดูการฝึกของพวกเค้ากัน


ฝึกด้วยการแช่น้ำเย็นจัด-10องศาเซลเซียต

image: http://upic.me/i/8w/rtnseal20h29vx1.jpg

 แช่น้ำตอนกลางคืนตื่นเช้ามาก็วิ่งแบกเรือยางอีก4ไมล์ เรือยางนั้นหนัก100กว่าโลนะ
image: http://upic.me/i/mi/img2273wi81.jpg

 แบกเรือไม่พอต้องแบกไม้พายอีก
image: http://upic.me/i/mh/img2279mb91.jpg

 ฝึกเช้ายันเย็นกันเลยทีเดียวไม่มีหยุด
image: http://upic.me/i/83/img2708xh7.jpg

 ตกดึกก็ยังฝึกอยู่แต่เปลี่ยนมาเป็นแบบซุงท่อนใหญ่ๆ
image: http://upic.me/i/ar/img2767xs4.jpg

 หากใครที่ไม่ไหว ใจไม่สู้ สามารถมาสั่นระฆังลาออกได้สามารถมาสั่นได้ตลอด24ช.ม.
image: http://upic.me/i/2p/img2879ik2.jpg

 ต่อไปเป็นการว่ายน้ำรอบเกาะโดยไม่ใช้มือ (ทำได้ไง)
image: http://upic.me/i/j8/img2982is71.jpg

 หลังจากมัดเสร็จก็จะมีเครื่องส่งตัวลงน้ำโดยระบบอัตโนมัติ
image: http://upic.me/i/ro/img2966ma51.jpg

Read more at http://www.unigang.com/Article/1008#DKZ8fjuIbtmtS3te.99