เสือคาบดาบ
.ใจจริงทหารบกทุกนาย ล้วนอยากได้เครื่องหมายนี้มาประดับหน้าอกเครื่องแบบด้านขวา แต่เนื่องจากหลายกรณีที่ทำให้ต้องตัดใจ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกาย จิตใจ ภารกิจหน้าที่ประจำ เวลาหรือค่าใช้จ่าย ก็ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญของแต่ละบุคคล..สำหรับผม ด้วยความที่รู้สึกเหมือนเดินแล้วเอียงมาหลายปี (เพราะจบแต่หลักสูตรส่งทางอากาศ(พลร่ม)..ได้ติดเครื่องหมายบนหน้าอกด้านซ้ายข้างเดียว)..มันไม่ใช่แค่คำพูดตลกๆในหมู่ทหาร แต่ผมมีความรู้สึกว่ามันเอียงแบบนั้นจริงๆ..ขอกล่าวไปถึงตอนโค้งสุดท้ายของหลักสูตรจู่โจมซึ่งก่อนนั้นผมได้ประคองสังขารผ่านมาแล้วทุกภาค เป็นระยะเวลาสองเดือนกว่า..(รุ่นที่ผมเรียน เข้าก่อนน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯไม่กี่วัน จนมาถึงภาคทะเลที่จะเล่านี้ น้ำที่ท่วมกรุงเทพฯก็ลดลงไปเกือบหมดแล้ว..รุ่นผมจึงเป็นรุ่นที่มีแรงกดดันทางจิตใจเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเรื่อง คือจิตใจที่เป็นห่วงและกระวนกระวาย สำหรับนักเรียนจู่โจมที่มีครอบครัวหรือญาติในกรุงเทพฯ..ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะตอนนั้นภรรยาและลูกสาวอายุเพียงแค่เดือนกว่า อาศัยอยู่พระนครศรีอยุธยา.. ชีวิตคร่าวๆของนักเรียนจู่โจม เช่น ห้ามมีโทรศัพท์ ห้ามมีวันหยุด ห้ามเขียนจดหมาย ห้ามมีญาติมาเยี่ยม ห้ามดูข่าวตามสื่อต่างๆ ห้ามพกเงินแม้แต่สลึงเดียว ห้ามๆๆๆๆๆๆ..นักเรียนจู่โจมมีสิทธิ์ได้รู้ข่าวว่าน้ำท่วมถึงที่ไหนบ้าง ก็เพียงจากครูฝึกที่เปรยๆเพียงน้อยนิดตอนเช้าก่อนฝึก เพื่อกดดันหัวใจนักเรียนในเรื่องความอดทน.. )..ซึ่งภาคทะเล เป็นภาคสุดท้ายของห้วงการฝึกของรุ่นนี้..สามวันกับอีกสามคืนสุดท้ายโดยประมาณ เป็นปัญหาอดอาหาร..ผมและเพื่อนร่วมรุ่นที่เหลืออยู่หนึ่งร้อยสี่สิบกว่าชีวิต ต้องร่วมฝ่าฟันและเผชิญชะตากรรมกันต่อ.. คืนก่อนหน้าจะเข้าปัญหาอดนั้น พวกเราก็ยังคงปฏิบัติภารกิจของปัญหาการฝึก จนตีสี่กว่าๆ กว่าจะได้งีบหลับ (จริงๆตั้งแต่วันแรก ที่เข้ารับการฝึก ก็ได้นอนวันละประมาณไม่เกินสามชั่วโมงทุกคืน ตลอดสองเดือนกว่าๆที่ผ่านมา..หรือหลายคืนที่ไม่ต้องนอนเลย )..ประมาณตีห้าครึ่ง..ครูฝึกก็เป่านกหวีดเรียกพวกเรารวมพล ให้เดินทางไปยังเรือบรรทุก...เมื่อมาถึงเรือ..ครูฝึกได้ตรวจสิ่งที่สามารถกินได้ และยึดทุกอย่างไว้หมด..(ระเบียบตลอดหลักสูตรก็ไม่สามารถพกพาของกินได้ ยกเว้นสิ่งที่อนุญาตในระเบียบหลักสูตร เช่น ยารักษาโรค แต่มีหลายครั้งที่หิวมากๆ ก็กินยาแอนตาซิลเป็นอาหาร.. )..แต่ปัญหาอดอาหาร ต้องยึดทุกอย่าง มีอย่างเดียวที่ให้คือ..คะนอร์ซุปไก่ คนละกล่อง (มีสองก้อน)..ทันทีที่ตรวจสิ่งของเสร็จพวกเราก็ขึ้นเรือ จนเรือได้นำนักเรียนจู่โจมมาถึงยังเกาะที่โดดเด่นกลางทะเล..เป็นเกาะที่เมื่อใครเกาะแล้วจะไม่มีอะไรกิน(ไม่เหมือนเกาะเมียกินนะครับ อิๆๆ)..เมื่อสองเท้าของทุกคนแตะพื้นหาดทรายแห่งนี้แล้ว เรือก็เคลื่อนตัวจากพวกเราไปลิบตา..เหลือไว้แต่นักเรียนจู่โจม ที่ถือปืน สะพายห่อสิ่งของเครื่องนอนเล็กน้อย(โดนยึดเป้สนาม) น้ำดื่มในกระติกสนามเพียงน้อยนิดห้อยอยู่ที่เอว..ความรู้สึกตอนนั้นถ้าผ่านปัญหาอดไปได้ ก็จะได้ติดเครื่องหมายเสือคาบดาบ (RANGER) เป็นนักรบพระนเรศวรเต็มตัวแล้ว..ผมมั่นใจว่า..เอาอยู่..ผมคิดในใจด้วยความมุ่งมั่น..หลังจากนั้นผมจึงเดินไปเลือกที่เหมาะๆเพื่อผูกเปลนอนฆ่าเวลา แต่ละคนนอนห่างจากเพื่อนๆภายในชุดพอประมาณ..(ป้องกันการคุยกัน นอนนิ่งๆห้ามพูดกันสามวัน ทำตัวให้นิ่งที่สุดเพื่อประหยัดพลังงาน..เป็นวิธีการที่พวกผมได้รับคำแนะนำมา..)..ผมผูกเปลเสร็จ ก็นอนรับลมทะเลเย็นสบาย..มองไปไกลๆก็เห็นเรือประมงหลายลำ ลอยล่องอยู่บนท้องทะเลสีคราม..นี่เราใกล้จะได้ติดเครื่องหมายเสือคาบดาบสมใจแล้วโว้ย..ผมกระหยิ่มยิ้มย่องภายในใจ..และเราจะเอาเครื่องหมายไปอวดภรรยาสุดที่รักและเจ้าตัวเล็ก..แม้ว่าภรรยาอาจจะไม่รู้ความหมายลึกซึ้งของเครื่องหมายเท่าไหร่..แต่ทุนจากกระเป๋าที่ให้ผมมา ตั้งแต่การทดสอบจนซื้อสิ่งของการฝึก อาจจะมากพอที่ทำให้เธอรู้ว่า มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น มันสำคัญพอๆกับการรับจำนำข้าวเลยทีเดียว..กลับไปจะหอมแก้มทั้งแม่และลูกเลย ผมคิดในใจต่อ..คิดถึงลูกมากเลย ป่านนี้จะโตขนาดไหนน๊า..เพราะตั้งแต่ลูกคลอด ผมได้อยู่กับลูกแค่สามวัน เนื่องด้วยติดภารกิจที่ชายแดน วันคลอดก็ส่งกำลังใจให้ภรรยาทางโทรศัพท์..ได้เห็นหน้าลูกก็ต่อเมื่อได้รับวันลา ก่อนเข้ามารับการฝึกสามวัน..เดี๊ยวนี้ลูกเราคงใกล้จะสี่เดือนแล้วสินะ..ผมคิดใคร่ครวญในใจของคนเป็นพ่อ จนความรู้สึกผมเริ่มตาปรือลงเรื่อยๆ เพราะความเพลีย..และหลังจากนั้นความรู้สึกผมก็หลับวูบลงด้วยความรู้สึกของผู้ชนะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น